กระดุมเม็ดแรกที่ผู้บริหารต้องติดให้ถูกในการตลาดโรงแรม
สิ่งที่หลังจากที่เจ้าของธุรกิจโรงแรมอ่านบทความการตลาดโรงแรมนี้จนจบ ความเสี่ยงแทบจะไม่มีเลย
คุณเองอยากมีธุรกิจเป็นของตัวเองใช่ไหม?
และหนึ่งในธุรกิจนั้นก็คือ ธุรกิจโรงแรม
ไม่ใช่เพียงแค่คุณหรอกครับที่มีความฝันนั้น
ผมเห็นหลายคนที่อยากจะมีโรงแรมเป็นของตัวเอง
ไม่ว่าระดับบ้านๆ จนถึงระดับหมื่นล้านที่ผมเคยให้คำปรึกษา
แต่ความอยากเหล่านั้น มันมาพร้อมกับความเสี่ยง
ยอมเสี่ยงเพราะฝันที่จะได้เป็นเจ้าของโรงแรม
ขอเพียงให้ได้เป็นเจ้าของโรงแรมเถอะ จะทำยังไงก็ยอม
นั่นคือหลุมพลางความคิดในช่วงเวลาขณะนั้น
นี่ไง มีที่ดินว่างอยู่ตรงนี้ ไม่ได้ทำอะไร งั้นสร้างโรงแรมตรงนี้แล้วกัน
เย้ มีที่แล้ว งั้นไปหาผู้รับเหมามาออกแบบโรงแรมต่อ
ผู้รับเหมาก็ออกแบบทั้งภายนอก ภายใน ตามที่เจ้าของต้องการ ว่าแบบไหนสวย เหมาะกับงบก่อสร้างที่มี ขนาดควรเป็นเท่านี้นะครับ ภายในแบบนี้ดีครับสวยๆเลย จำนวนห้องเท่านี้แล้วกันครับ งบนี้สร้างได้ บลาๆๆ
เอาแล้วววว ฝันใกล้จะเป็นจริง
ก่อสร้างเสร็จไป 90% ใกล้จะได้เปิดแล้ว เย้ๆ
พอสร้างเสร็จ เอ้าได้เวลาขายแล้ว
เอาไปขายบน OTA พวก Ago, Expe, Bookin อะไรทำนองนี้แล้วกัน
เดือนแรกผ่านไป ทำไมคนเข้าพักแค่นี้
เดือนสองผ่านไป มันก็ดีขึ้นมาหน่อย
เดือนสามแล้ว จะทำไงต่อดี
เดือนสี่ เ_ ีย้แล้ว หมุนเงินไม่ทัน
พอๆๆๆๆ เอาเคสแค่นี้ก่อนดีกว่า
สิ่งที่คนอยากจะเป็นเจ้าของโรงแรมพลาดบ่อยๆก็คือ “การสำรวจความต้องการของตลาด”
การที่จะสร้างโรงแรมขึ้นมานั้นมันไม่ยาก ตามกระบวนการบนๆที่เล่ามาเลย
แต่รู้หรือไม่ว่า
คนประเภทไหนที่จะมาจ่ายเงินเข้าพักโรงแรมที่เราสร้าง
มีจำนวนมากแค่ไหนที่จะทำให้โรงแรมอยู่ได้ในธุรกิจ
มีคู่แข่งที่จับกลุ่มลูกค้าเดียวกับเราอีกกี่ราย มีทั้งหมดกี่ห้อง
ข้อมูลพวกนี้มักจะมาหาเอาทีหลัง หลังจากตกลงจะก่อสร้างโรงแรมไปแล้ว
ขอย้อนไปถามตั้งแต่เรื่อง:
ที่ดินที่มีอยู่
มันเหมาะกับกลุ่มเป้าหมายโรงแรมหรือไม่ ทำเลอำนวยไหม การที่มีที่ดินว่างแล้วจะเอาไปทำอะไรแล้วติดว่ามันจะรุ่ง หรือเป็นการใช้งานที่คุ้มค่าสูงสุดแล้วหรือยัง เพราะที่ดินบางผืนก็อาจจะดีกว่าถ้าเอาไป ทำเกษตร อพาทเม้น โรงงาน ออฟฟิส ที่จอดรถ บลาๆๆ
รูปแบบห้อง ตกแต่งภายใน หรือจำนวนห้อง
ในเมื่อไม่รู้ว่ากลุ่มเป้าหมายคือใคร เค้าชอบแบบไหน กำลังซื้อเค้ามีเท่าไหร่ แล้วจะเอาสิ่งที่เราชอบหรือคนออกแบบชอบมาขายให้เค้า เค้าจำเป็นต้องชอบด้วยไหม มีกี่คนจะชอบแบบนี้ ถ้ามี 7 คน แล้วสร้างจำนวนห้องถึง 10 ทำไม อะไรทำนองนี้
สร้างเสร็จแล้วเพิ่งมาขาย
ในเมื่อไม่รู้ว่ากลุ่มเป้าหมายคือใคร มันก็ยากที่จะรู้ว่า เค้ามีเวลาในการเรียนรู้และตัดสินใจล่วงหน้าแค่ไหน เช่น โรงแรมอยู่พัทยา กลุ่มเป้าหมายกรุงเทพก็อาจจะ 1-2 วัน แต่คนอยู่เชียงใหม่ก็อาจจะใช้เวลา 7 วัน ถ้าอยู่อังกฤษ ก็อาจจะใช้เวลา 2-3 เดือน ใช่ว่าเปิดขายวันนี้แล้วเค้าจะจองเลยพักเลยที่ไหนกันหล่ะ
เห้ยยย มันก็มีลูกค้าชอบและมาพักอยู่นะ คำถามคือ จำนวนมีมากพอที่หลังจากแบ่ง Market Share ในตลาดแล้วธุรกิจอยู่รอดไหม
ยกตัวอย่างหัวหินแล้วกัน
ดูเหมือนคืนวันเสาร์จะคนเยอะ โอ้วววเคยไปเที่ยวเห็นแล้วอยากเปิดโรงแรม แล้วรู้บ้างไหมว่าคืน อา-ศ เค้าเป็นไง บริษัทห้างร้าน โรงงานต่างชาติ ก็ไม่มีแถวนั้น มีสักกี่คนต้องไปพักวันธรรมดา
หรือจะเป็นตัวอย่างที่ภูทับเบิก
ใน1ปีจะมีกี่วันที่คนอยากไป ต้องหน้าหนาวใช่ไหม หน้าหนาวที่ไทยมันมีกี่วัน แต่คนลงทุนสร้างและดูแล ต้องจ่ายค่าดูแลและพนักงานทุกๆวัน
นี่แค่ตัวอย่าง จากความอยากเจ้าของที่ไม่เคยนึกถึงความอยากของลูกค้าเลย ว่ามีมากแค่ไหนที่เค้าจะควักเงินจ่ายให้ธุรกิจเราจนอยู่ได้แบบมีกำไร มันก็จะอารมณ์แบบนี้
มันหมดแล้วกับวิธีคิดในยุคอุตสาหกรรม ที่ผลิตสินค้าก่อนแล้วมาเร่ยัดเยียดขายได้ง่ายๆ
ในยุคนี้คือ Customer Centric ที่ต้องหาความต้องการลูกค้าก่อนว่ามีไหม แล้วจะหาเงินจากปัญหาหรือความอยากของลูกค้าได้อย่างไร
สรุปกระดุมเม็ดแรก ก็คือ:
ความต้องการของตลาดกลุ่มเป้าหมายคือใคร มีจำนวนความต้องการมากพอหรือไม่ที่จะทำให้ธุรกิจโรงแรมที่เราฝันนั้นอยู่รอดในการแข่งขัน
ใช่เลย มันโคตรจะเรื่องเบสิคที่มักจะถูกก้าวข้าม เหมือนบ้านที่อยู่แล้วอุ่นใจมันเริ่มต้นจากเสาเข็มและโครงสร้างที่แข็งแรง
ถ้าไม่รู้ มันก็ไม่ต่างอะไรกับการเสี่ยงเล่นการพนัน